ว่ากันว่ายิ่งออมเงินได้เร็วเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะยิ่งมีโอกาสเจริญเติบโตก้าวหน้าทางการเงิน มีความมั่งคั่งและมั่นคงทางด้านการเงินเร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งในขั้นแรกผู้ที่เก็บออมส่วนใหญ่ก็มักจะนำเงินของตนเองที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปฝากธนาคารเพื่อที่ให้เงินนั้นงอกเงยเป็นดอกเบี้ยทบต้นเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาษีเงินฝาก ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของผู้ฝากเงินทุกคนที่จำเป็นต้องรู้
ภาษีดอกเบี้ยเงินฝากนั้นถือเป็นเงินได้รูปแบบหนึ่งที่ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษีให้กับภาครัฐด้วย โดยกฎหมายกำหนดว่าผู้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากจากทุกบัญชี ทุกธนาคารรวมกันในชื่อของตนเองเป็นจำนวนเงินที่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น จะต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากโดยหัก ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยทั้งหมดโดยคิดตั้งแต่บาทแรก ซึ่งนับเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเงินต้น หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า ต้องทำอย่างไรได้บ้างที่จะไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก หรือหากต้องเสียจะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถช่วยบริหารจัดการภาษีเงินฝากให้เสียได้น้อยที่สุด
3 รูปแบบการฝากเงินที่จะช่วยให้คุณบริหารจัดการภาษีเงินฝาก ให้จ่ายน้อยที่สุด
ช่องทางการออมเงินนั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ และก็มีวิธีการฝากเงินแบบที่ไม่เสียภาษี เพื่อช่วยให้บริหารจัดการภาษีเงินฝากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ประโยชน์สูงสุดด้วย นั่นคือ
1. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป
ไม่ต้องแปลกใจไปว่า ทำไมถึงแนะนำให้ฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แน่นอนว่าหากได้รับดอกเบี้ยเงินฝากเกินยอด 20,000 บาท ก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่จ่ายภาษีเงินฝากได้ แต่อย่าลืมว่าหากเราคอยคำนวณจำนวนดอกเบี้ยทั้งหมดที่จะได้ในแต่ละบัญชีออมทรัพย์รวมกันไม่ให้เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด เท่านี้ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ซึ่งวิธีการคำนวณก็สามารถทำได้ง่าย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น หากบัญชีออมทรัพย์ที่ฝากเงินไว้ให้อัตราดอกเบี้ย 2.0 % ต่อปี นั่นหมายความว่า จะสามารถฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์นั้น ๆ ได้ไม่เกิน 1,000,000 บาท ซึ่งจะทำให้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากจำนวนทั้งหมด 20,000 บาท จึงไม่เกินกว่าที่กำหมายกำหนด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียภาษี แต่ถ้าหากมีเงินมากกว่า 1,000,000 บาท ก็ควรนำไปฝากในบัญชีเงินฝากรูปแบบอื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากแทน
2. บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี
ชื่อบัญชีก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นบัญชีเงินฝากที่ปลอดภาษี นั่นหมายความว่า ดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากประเภทนี้จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่บัญชีเงินฝากประเภทนี้มักมีเงื่อนไขในการฝากแตกต่างกันออกไปตามแต่ละธนาคารกำหนด เช่น ผู้ฝากเงินจะต้องฝากเงินเป็นประจำทุกเดือน เดือนละเท่า ๆ กัน สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท สำหรับระยะเวลาการฝาก 24 เดือน และ สูงสุดไม่เกิน 16,000 บาท สำหรับระยะเวลาการฝาก 36 เดือน ที่สำคัญบัญชีเงินฝากปลอดภาษีนั้นมีเงื่อนไขว่า 1 คน มีได้เพียงแค่ 1 บัญชีเท่านั้น หากมีเกินกว่า 1 บัญชีจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินฝาก
ข้อดีของการฝากประจำคือ ช่วยให้สามารถฝึกวินัยการออมเงินได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญเมื่อครบกำหนดที่สามารถถอนเงินออกได้ ก็จะได้รับดอกเบี้ยที่มีอัตราสูงกว่าการฝากเงินในรูปแบบบัญชีอื่น ๆ ข้อควรระวังสำหรับการฝากเงินบัญชีฝากประจำปลอดภาษีคือ ห้ามผิดเงื่อนไข หากผิดเงื่อนไขใด ๆ ที่ธนาคารกำหนด ผู้ฝากก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยพิเศษตามที่ตกลงกันไว้ เช่น ห้ามฝากเงินเกินเวลาที่กำหนด หรือห้ามถอนก่อนระยะเวลาที่กำหนด เป็นต้น
3. สลากออมทรัพย์
สลากออมทรัพย์เป็นผลิตภัณฑ์การเงินรูปแบบหนึ่งที่จะถูกออกโดยธนาคารของรัฐเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากสลากออมทรัพย์จะได้รับการยกเว้นภาษี
ข้อดีของการซื้อสลากออมทรัพย์คือ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกเดือน ผู้ซื้อสามารถซื้อครั้งเดียวก็ได้ เป็นรูปแบบการออมเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ และจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการลุ้นรางวัลคล้ายคลึงกับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เพียงแต่ผู้ซื้อจะได้รับเงินต้นคืนทั้งหมด เหมาะสำหรับคนที่ชอบเสี่ยงโชคแต่ไม่อยากเสียเงินต้น แต่สลากออมทรัพย์มีข้อจำกัดคือ มักจะได้รับดอกเบี้ยต่ำ หรือสลากออมทรัพย์บางรุ่นก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยเลย ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเงื่อนไขของสลากออมทรัพย์แต่ละรุ่นด้วย
หวังว่าความรู้ในเรื่องของการบริหารจัดการเงินออมอย่างไรให้สามารถเสียภาษีเงินฝากได้น้อยที่สุดจะเป็นประโยชน์กับผู้ออมเงินทั้งหลาย ขอให้พึงระลึกอยู่เสมอว่า ความรู้พื้นฐานในเรื่องของการเงินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะยิ่งมีความรู้เรื่องการเงินมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการเงินให้งอกเงยได้มากขึ้นเท่านั้น